วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจค้นบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

การปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจค้นบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ
ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  
          

กองวิจัยและวางแผน  ส่วนราชการกรมตำรวจ  ที่ 0503 ( ส ) / 27663

วันที่ 30  กันยายน  2525

เรื่อง  การปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจค้นบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณสถาน

ผบช. , ผบก. , หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าทุกหน่วยงาน

ตามบันทึก  ตร.ที่ 0501 /30476 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2517 กำหนดแนวทาง
ในการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจ  ให้ใช้ดุลพินิจในการตรวจค้น  จับกุม
ผู้พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณสถานให้เป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 371 ได้บัญญัติไว้  ต่อมาได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 8 ทวิ แห่ง พรบ. อาวุธปืนฯ
พ.ศ. 2490 ขึ้นอีก  ในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในปัจจุบันยังคงมีปัญหา
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยมีเพียงใบอนุญาต
ให้มีและใช้อาวุธปืน ( ป. 4 )   แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ( ป. 12 )
ก็มักจะควบคุมตัวมาดำเนินคดีทุกรายไป  ทำให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกตรวจค้น
และจับกุม   เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
และถูกต้อง    จึงขอซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้  ตามบทบัญญัติ
มาตรา 8 ทวิ แห่ง พรบ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งคณะปฏิรูป
การปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3 กำหนดว่า  ห้ามมิให้
ผู้ใดพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ  โดยไม่ได้รับอนุญาต
ให้มีอาวุธปืนติดตัว  เว้นแต่กรณีต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควร
แก่พฤติการณ์     ไม่ว่ากรณีใด

ห้ามมิให้พกพาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผยหรือพาไปในที่ชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้น
เพื่อนมัสการ  การรื่นเริง  การมหรสพ หรือการอื่นใด

 :) 
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กฎหมายยังคงเปิดโอกาส  ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์
นำเอาอาวุธปืนที่ตนมีไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พกพา
ติดตัวไปเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สินได้ ภายในขอบเขตที่กฎหมายให้กระทำได้
ตามแนวคำชี้ขาดไม่ฟ้องคดีของอธิบดีกรมอัยการเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ  โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พกพาจากเจ้าพนักงาน
ซึ่งถือว่าโดยสภาพเป็นกรณีที่ต้องมีอาวุธปืนติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน
ตามสมควรแก่พฤติการณ์  มีแนวทางพอสรุปได้ดังนี้คือ

1. 
ถ้าได้นำอาวุธปืนใส่กระเป๋าเก็บไว้ในช่องเก็บของท้ายรถ ซึ่งไม่สามารถหยิบใช้ได้ทันทีทันใด

2. 
เอาอาวุธปืนใส่กระเป๋าใส่กุญแจแล้ววางไว้ในรถซึ่งไม่สามารถหยิบใช้ได้ในทันทีทันใด

3. 
ไปเก็บเงินจากลูกค้าต่างจังหวัด  จำนวนเป็นหมื่นๆ นำติดตัวมาแล้วมีอาวุธปืน
ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้ว ใส่ช่องเก็บของหน้ารถยนต์เพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สิน

4. 
ไปเก็บเงินจากลูกค้าต่างจังหวัด นำอาวุธปืนติดตัวมาด้วย โดยแยกอาวุธปืน
และเครื่องกระสุนปืนออกจากกัน   ใส่กระเป๋าเอกสารไว้ที่พนักเบาะหลังรถยนต์

5. 
ห่ออาวุธปืน และแหนบบรรจุกระสุนปืน ( แมกกาซีน ) แยกออกคนละห่อเก็บไว้ในกระโปรง
รถยนต์ซึ่งใส่กุญแจ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบและแจ้งให้ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องทราบ  เพื่อใช้เป็นดุลพินิจ
ประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนี้ต่อไป

ลงชื่อ  พล.ต.ท.ณรงค์ มหานนท์  ( ณรงค์ มหานนท์ )
รองอ.ตร.ปป.ปร.ท.อ.ตร.

   
ลองๆทำตามดู น่าจะยังใช้บังคับอยู่ครับ  ... 
  ทีนี้มาดูผล  ของการปฏิบัติตามแบบนี้กันดูบ้างครับ   

เรื่องทั้งหมดนี้มีที่มาสามารถอ้างอิงได้  โดยผมจะลงที่มาเอาไว้ให้ด้วยครับ
เพื่อจะได้ไปเปิดค้นดูได้ถึงที่มาที่ไป...

    
เรื่องที่ ๑  ผู้ต้องหาถูกตำรวจจับได้ในขณะขับรถยนต์ไปเก็บเงินลูกค้าที่ผู้ต้องหา
ขายยาที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท ผู้ต้องหาอ้างว่านำอาวุธปืน
ติดตัวไปเพื่อป้องกันทรัพย์สิน  ปืนดังกล่าวผู้ต้องหาได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้
โดยถูกต้องแล้ว  พร้อมกับแสดงเงินสด ๓๕,๐๐๐ บาท  ให้พนักงานสอบสวนดูไว้เป็นหลักฐาน
               
ปรากฎว่าตำรวจค้นปืนได้จากที่เก็บของด้านหน้าซ้าย ของรถยนต์
คันที่ผู้ต้องหาขับไป  อธิบดีกรมอัยการชี้ขาดว่า  ผู้ต้องหา
ไม่ได้พาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผย  แต่ได้เก็บไว้ในที่เก็บของมิดชิด  และการที่ผู้ต้องหา
ไปเก็บเงินจากลูกค้าต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก  โดยพาอาวุธปืนซึ่งได้รับอนุญาตให้มี
และใช้แล้วติดตัวไปด้วยนั้น  นับว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
จึงชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ พรบ.อาวุธปืนฯ
มาตรา ๘ ทวิ , ๗๒ ทวิ ฯลฯ

  
เรื่องที่ ๒    .. ผู้ต้องหาถูกจับได้พร้อมปืนสั้นขนาด .๓๘ มีทะเบียนแล้ว กับมีกระสุน
ในลูกโม่ ๒ นัด  และกระสุนอยู่ในซองกระสุนอีก ๒๘ นัด ของทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าถือ
ใส่ไว้ในกระโปรงท้ายรถยนต์ของผู้ต้องหา
                 
อธิบดีกรมอัยการชี้ขาดว่า ผู้ต้องหานำอาวุธปืนของตนที่ได้รับ
อนุญาตให้มีและใช้แล้ว  ใส่ไว้ในกระเป๋าถือ และเอากระเป๋าถือใส่ไว้ในกระโปรงรถยนต์
ซึ่งใส่กุญแจ  โดยสภาพมิใช่เป็นการพาอาวุธติดตัวและมิใช่โดยเปิดเผย
จึงชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฯลฯ

  
เรื่องที่ ๓ .. ผู้ต้องหาขับรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อมาตามถนนสายธนบุรี - ปากท่อ
 
ถูกตำรวจจับที่ด่านตรวจรถ  พร้อมปืนกับกระสุน ๗ นัดซึ่งผู้ต้องหาได้รับใบอนุญาต
ให้มีและใช้แล้ว  แต่ไม่มีใบพกพา  ปืนดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าถือบนตะแกรงเหล็ก
เหนือที่นั่งของผู้ต้องหา   
                   
อธิบดีกรมอัยการชี้ขาดว่า  ผู้ต้องหามีอาวุธปืนใส่ไว้
ในกระเป๋าถือ   เก็บไว้ในตะแกรงเหล็กเหนือศรีษะที่นั่งคนขับ  โดยสภาพจึงไม่เป็นการ
พาอาวุธปืนติดตัว  ไม่เป็นความผิด  จึงชี้ขาดไม่ฟ้อง

ทั้ง ๓ เรื่อง มาจาก หนังสือ  เล่นปืนไม่ให้ถูกจับ ของอ. สมพร - ศรีนิดา  พรหมหิตาธร
ซึ่งเป็นพนักงานอัยการเป็นผู้เขียน  หน้าที่ ๕๐ - ๕๑  ( พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ )

  
มาดูต่อครับ  

ต่อไปเป็นความเห็นชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนติดตัว

อัยการสูงสุดได้ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ที่ ๖๔ / ๒๕๒๔ เกี่ยวกับการพกพา
อาวุธปืนติดตัวว่า  การพาอาวุธปืนติดตัวที่จะเป็นความผิดตาม พรบ. อาวุธปืน ฯลฯ
นั้น  จะต้องเป็นการกระทำที่ผู้ต้องหานั้นอยู่ในวิสัยที่สามารถอาจใช้อาวุธปืนนั้นได้
ในทันที  หากต้องการจะใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมการเพื่อการใช้ใดๆอีก
ดังนั้น การที่ผู้ต้องหานำอาวุธปืนไป โดยเก็บไว้ที่เก็บของท้ายรถ จึงไม่ใช่เป็นการ
พาอาวุธปืนติดตัวไปตามความหมายของกฎหมาย  การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดองค์
ประกอบความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน ฯ มาตรา ๘ ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑
จึงชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหา

คดีชี้ขาดความเห็นแย้งที่ ๑๙ / ๒๕๓๗   อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้ว    เห็นว่า
การพาอาวุธปืนติดตัวที่จะเป็นความผิดตาม พรบ.อาวุธปืนฯ มาตรา ๘ ทวิ นั้น จะต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำนั้นอยู่ในวิสัยที่สามารถอาจใช้อาวุธปืนนั้นได้ในทันทีหากต้องการจะใช้
โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมการเพื่อการใช้ใดๆอีก  ฉะนั้น การที่ผู้ต้องหา
แยกอาวุธปืนกับกระสุนออกจากกันและบรรจุไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วนำกระเป๋าติดตัวมาด้วย
จึงไม่ใช่การพาอาวุธปืนติดตัวในความหมายของกฎหมาย การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน ฯ มาตรา ๘ ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๗๑ จึงชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหา

 
ที่มา ก็จากหนังสือเล่มเดียวกัน หน้าที่ ๕๖ -๕๗ 
 
 :)   
ในยุค ป.๑๒ ขอยาก ก็ต้องเสี่ยงกันไป  แต่หากว่าประชาชนคนใดพกพาแบบที่ว่ามาแล้ว
ข้างต้นก็มีสิทธฺได้รับความอะลุ่มอะหล่วยจากตำรวจได้   

 
จึงอยากจะขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่อยู่ในเวปและนอกเวปนี้ครับ
ได้โปรดอะลุ่มอะหล่วยกับคนบริสุทธิ์ที่ต้องพาปืนไปป้องกันตัวด้วยเถิดครับ

เพราะแม้คุณจะจับกุมไปไว้ก่อน  แต่ผลสุดท้ายทางอัยการสูงสุดก็คงจะ
สั่งไม่ฟ้องได้ตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น

 
หากประชาชนได้ให้ความร่วมมือดังกล่าวแล้ว  ขอได้โปรดอะลุ่มอะหล่วยให้ด้วยครับ

ด้วยความปราถนาดีต่อเพื่อนๆสมาชิกชาวปืนทุกคนครับ   



 
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวข้างต้นก็สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของคำพิพากษาศาลฎีกาด้วยครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๓๙๔๕ / ๒๕๔๐ วินิจฉัยว่า  กระเป๋าเอกสารที่อาวุธปืนของกลาง
บรรจุอยู่ภายในนั้นโดยสภาพและคำพยานจำเลยแสดงว่า มีกุญแจล็อคถึง ๒ ด้าน
ทั้งวางอยู่ที่เบาะด้านหลัง  การจะหยิบฉวยอาวุธปืนมาใช้ทันทีทันใดนั้น
ย่อมเป็นไปได้ยาก จึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการพกพาติดตัว ทั้งเหตุผลที่จำเลย
อ้างว่าเป็นการขนย้ายไปยังบ้านที่ต่างจังหวัดนั้น  จำเลยมีสำเนาทะเบียนบ้านมานำสืบว่า
มีการย้ายภูมิลำเนาไปจริง  แม้จะภายหลังวันเวลาเกิดเหตุแต่ก็เพียงไม่กี่วัน   ต้องรับฟังเป็นคุณ
แก่จำเลยตามที่อ้างว่าเจตนาเพียงขนย้ายสิ่งของ  เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็น
เป็นอย่างอื่น  จึงต้องฟังว่าจำเลยมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ที่จะพาอาวุธของกลางไป
จำเลยไม่มีความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน ฯ มาตรา ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง , ๗๒ วรรคสอง และ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  ๓๗๑ 

 :)
ครับจะเห็นว่าคดีนี้ แม้ศาลจะฟังว่าจำเลยย้ายของ มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนก็ตาม
แต่ศาลฎีกาก็ได้วินิจฉัย ถึงหลักว่า อย่างไรที่จะถือว่าเป็นการพกพาปืนติดตัวเอาไว้ด้วย
ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวข้างต้น  

 
และเป็นความยุติธรรมดีครับ  ..

จึงอยากขอร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโปรดอะลุ่มอะหล่วยเกี่ยวกับหลักการ
ดังกล่าวข้างต้นด้วยนะครับ ..  :

ปล. หากท่าน ผองพัฒ ( วมต.) และท่านคณะบริหาร RO 01 - RO 05 
พิจารณาแล้วเห็นว่า กระทู้ไม่สมควรหรือไม่เหมาะสม  ก็ลบได้นะครับ .. :

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โทษของการใช้อาวุธปืนพก

 เรื่องโทษของการ มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน..




          1.  กรณีเก็บปืนแบบแยกปืนใส่กล่อง  ล็อคกุญแจ  เวลาไปซ้อมยิงปืน หรือเคลื่อนย้ายปืนนั้น  ตามกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการ

พกพาอาวุธปืน  เพราะการพกพาที่จะเป็นความผิดตามกฎหมายนั้นต้องเป็นไปในลักษณะที่สามารถหยิบปืนขึ้นมาใช้ได้ทันท่วงที  ซึ่ง

กรณีเช่นนี้มีคำชี้ขาดของอัยการสูงสุด และคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่าไม่เป็นความผิดฐานพกพาอาวุธปืน  นอกจากนี้

ยังมีหนังสือเวียนของกองวิจัยและวางแผน ส่วนราชการกรมตำรวจ ที่ 0503 (ส)/27663  ลงวันที่  30 กันยายน 2525  เรื่อง การปฏิบัติ

เกี่ยวกับการตรวจค้นบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณสถาน  ซึ่งวางแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจในการจับกุม

ผู้ที่พกพาอาวุธปืนซึ่งสอดคล้องกับคำชี้ขาดของอัยการสูงสุด และคำพิพากษาของศาลฎีกา  ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ที่กระทู้ปักหมุดด้านบน

ลองค้นหาดูนะครับ

         2.  ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยวางหลักเกี่ยวกับเรื่องการครอบครองอาวุธปืนไว้แล้วว่าการครอบครองปืนที่จะเป็นความผิดตามกฎหมายนั้น

ต้องเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  แต่กรณีตามตัวอย่างที่เจ้าของกระทู้ยกมานั้นเห็นได้ว่าปืนก็ถูกเก็บรักษาไว้ภายในบ้าน

และสาเหตุที่ภรรยาต้องนำปืนออกมาใช้ก็เพื่อป้องกันภยันตรายที่มาถึงตัว  ซึ่งการใช้ปืนในลักษณะดังกล่าวเป็นการนำมาใช้ชั่วคราวเพื่อป้อง

กันภยันตรายเท่านั้นมิได้มีเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  จึงไม่มีความผิดฐานครอบครองปืนผิดมือครับ

        ถ้าอยากค้นหาคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับอาวุธปืนเพิ่มเติมก็ลองค้นหาดูที่เว็บไซต์ของศาลฎีกานะครับ

        ตามนี้  http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/search.jsp